แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 51
1
ภาวะแทรกซ้อน จากการจัดฟันเด็ก

การจัดฟันในเด็ก ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันนี้ เด็กไทยเป็นจำนวนมาก มีอาการฟันผุ เนื่องจากการรับประทานอาหารและการไม่ทำความสะอาดช่องปากและฟัน รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะไม่มีเวลาในการแนะนำหรือสอนเด็กเกี่ยวกับวิธีการแปรงฟันอย่างถูกต้อง ดังนั้น เด็กไทยจึงเกิดฟันผุมาก ซึ่งบางคนอาจจะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียฟันไปเลยทีเดียว เมื่อเด็กสูญเสียฟันไป ก็ส่งผลทำให้เกิดปัญหาฟันอื่นๆตามมามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดปัญหาฟันห่าง ฟันล้ม ซึ่งส่งผลทำให้เด็กไม่มั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเอง ทำให้รับประทานอาหารได้ลำบาก จนอาจจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาร่างกายได้ เพราะเมื่อเด็กรับประทานอาหารได้ลำบาก อาจจะทำให้เด็กเกิดอาการเบื่ออาหารได้ ทำให้เกิดโรคขาดสารอาหารได้


ดังนั้น สุขภาพช่องปากและฟัน จึงมีคความสัมพันธ์กับสุขภาพร่างกายโดยรวมของเด็ก จึงเป้นสาเหตุที่ว่า เด็กควรที่จะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี แต่การแก้ไขปัญหาฟันสำหรับเด็กที่มีฟันผุ และเกิดการสูญเสียฟัน แน่นอนว่า การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่าวตรงจุด แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ มักจะมีข้อดีและข้อเสียเหมือนกัน การเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็เช่นเดียวกัน ก็มีข้อเสียเหมือน ซึ่งอาจจะทำให้เด็กเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงภาวะแทรกซ้อนของการจัดฟฟันในเด็ก ที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับเด็ก แต่ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองใส่ใจในเรื่องของสุขภพช่องปากและฟันและทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ก็จะช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน อย่างแรกเลยก็คือ การเกิดฟันผุ โรคเหงือก ถ้ากรณีที่เด็กรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป และไม่ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีและอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปัญหานี้ก็เกิดขึ้นได้ตามปกติแม้จะไม่ได้รับการจัดฟัน แต่การจัดฟันก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวได้มากขึ้นนั่นเอง ต่อมาก็คือ ปัญหาการเคลื่อนฟัน อาจมีผลต่อสุขภาพของกระดูกและเหงือกที่รองรับฟันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีรอยโรคเดิมอยู่แล้ว ในเด็กที่มีการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติ


การจัดฟันจะช่วยลดการสูญเสียฟัน หรือการเกิดเหงือกอักเสบได้ ส่วนการเกิดเหงือกอักเสบหรือการเกิดการละลายตัวของกระดูกเบ้าฟัน จะเกิดได้ในกรณีที่เด็กไม่สามารถทำความสะอาดฟันเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ ออกจากฟันได้หมด ต่อมาก็คือปัญหาที่มักพบได้บ่อยเลยก็คือ การใช้เครื่องมือทางทันตกรรมจัดฟัน อาจทำให้เกิดแผลในช่องปาก หรือเกิดการกระทบกระแทกต่อฟันได้บ้าง ส่วนการสึกของฟันที่ผิดปกติอาจเกิดขึ้นเองได้ถ้าเด็กมีการบดเคี้ยวที่รุนแรงกว่าปกติ และอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนก็คือ  เครื่องมือจัดฟันอาจหลุด และคนไข้อาจกลืนลงไปด้วยความบังเอิญ

ซึ่งควรที่จะระมัดระวัง ยิ่งในเด็ก พ่อแม่ต้องคอยระวังให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันอันตราย ทั้งหมดนี้คือภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน ทางที่ดีควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์จะดีที่สุด อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยสังเกตอาการของเด็ก ระหว่างอยู่ในช่วงการจัดฟันด้วย เพราะถือว่าเป้นเรื่องที่ดี เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหา ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง หรือควรพามาพบทันตแพทย์เพื่อรับการแก้ไขได้ทันที

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กมาพบกับทันตแพทย์จัดฟันได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่ยินดีให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง โดยยึดหลักการและปัญหาฟันของเด็ก เป็นที่ตั้ง เพื่อที่จะได้รับการแก้ไขปัญหาที่ดีและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทันตแพทย์ของเรายังมีความเชี่ยวชาญด้านทันนตกรรมในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

2
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส เวลาเครื่องมือทำงาน จะรู้สึกเจ็บหรือไม่

การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะการจัดฟันแบบใส สามารถตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการจัดฟันแบบใส มีความแตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบทั่วไปที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

แต่การจัดฟันแบบใสนั้น มีเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารหรือขณะแปรงฟัน นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟันยังมีความบางและใส เมื่อเราสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแล้ว ทำให้คนอื่นมองแทบไม่ออกเลยว่าเรากำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ ซึ่งนี่ก็คือข้อดีของการจัดฟันแบบใส เพราะจะช่วยทำให้รู้สึกมีความมั่นใจ ทำให้ยิ้มได้อย่างสดใส สวยงาม มากกว่าการจัดฟันแบบทั่วไป ที่เวลายิ้มจะเห็นเครื่องมือการจัดฟันทำให้บางคนขาดความมั่นใจได้ สำหรับการจัดฟันแบบใส

ทางการทันตกรรมได้มีการพัฒนานำรูปแบบใหม่ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถออกแบบรอยยิ้มร่วมกับทันตแพทย์ได้ ทำให้ตอบโจทย์ตอบผู้เข้ารับการจัดฟันมากที่สุด และทำให้เราได้ผลการรักษาที่พึงพอใจตามแบบที่เราต้องการ ในแง่ของการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์จะแนะนำให้เราสวมใส่เครื่องมืออย่างน้อยวันละ 20- 22 ชั่วโมง เพื่อให้เครื่องมือการจัดฟันสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น เราต้องอธิบายก่อนว่าเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์จะทำการออกแบบเครื่องมือมาเฉพาะบุคคล ทำให้เครื่องมือการจัดฟันสามารถเข้ากับช่องปากของผู้เข้ารับการจัดฟันได้อย่างพอดี จึงทำให้การทำงานของเครื่องมือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ซึ่งหลายคนที่เคยเข้ารับการจัดฟันแบบทั่วไปเวลาที่เราต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการติดเครื่องมือ ได้ทำการปรับเครื่องมืออาจจะทำให้รู้สึกเจ็บและตึงเลยภายในช่องปาก เนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันอาจจะรั้งดึงฟัน เพราะนี่คือการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่น ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันรู้สึกเจ็บปวด แต่ในการจัดฟันแบบใส หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าเครื่องมือของการจัดฟันแบบใสนั้น มีความบางเรียบและมีความใส และออกแบบมาเฉพาะบุคคลทำให้เครื่องมือสามารถเข้ากับช่องปากของผู้เข้ารับการจัดฟันได้อย่างพอดี

ซึ่งการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น เมื่อเราสวมใส่เครื่องมือเครื่องมือก็จะทำงาน โดยจะช่วยทำให้ฟันเคลื่อนไปในตำแหน่งที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ จะไม่ทำให้เรารู้สึกเจ็บเพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆด้วยแรงที่เบามาก จึงไม่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด เพราะเครื่องมือการจัดฟันจะไม่รั้งดึง ทำให้รู้สึกเจ็บปวด


ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าการจัดฟันแบบใสเมื่อเราสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน แล้วเมื่อเครื่องมือทำงานจะไม่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดนั่นเอง อย่างไรก็ตามผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องสวมใส่เครื่องมืออย่างน้อยวันละ 20 -22 ชั่วโมง ตามที่ทันตแพทย์แนะนำเพื่อให้เครื่องมือการจัดฟันเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่ทันตแพทย์วางไว้ เพื่อให้ได้รับผลการรักษาอย่างแม่นยำ ดังนั้น สิ่งสำคัญของการจัดฟันแบบใสก็ขึ้นอยู่กับระเบียบวินัยของผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
ปล่อยรถป้ายแดง Hyundai H1 2.5 Elite Ns ปี 2022 ฟรีประกันชั้น1 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

Hyundai H1 2.5 Elite NS ปี 2022 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ขนาดใหญ่ 11 ที่นั่ง ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกว้างขวาง ความสะดวกสบาย และความคุ้มค่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวใหญ่ หรือสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ เช่น รถรับส่ง

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 11 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2568
วารันตีศูนย์ 5ปี ถึง150,000 โล,ประกันชั้น1 เหลือ11 เดือน
ฟิล์มกันรอยทั้งคัน,book service กุญแจครบ2 ดอก
รับประกันไม่มีชนหนัก พลิกคว่ำ น้ำท่วม ไมล์แท้ การันตี

ราคาพิเศษ 1,090,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ขุมพลังและสมรรถนะ

เครื่องยนต์: ดีเซล รหัส D4CB แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว
ขนาด 2,497 ซีซี (2.5 ลิตร)
เทอร์โบแปรผัน (Variable Geometry Turbocharger - VGT) พร้อม Intercooler
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง: Commonrail Direct Injection
กำลังสูงสุด: 175 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด: 441 นิวตันเมตร ที่ 2,000 - 2,250 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อม Sequential Shift
มาตรฐานไอเสีย: EURO 4
ความจุถังน้ำมัน: 75 ลิตร
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง


5
รถยนต์ใหม่ 2025: นีโอมอร์ Neomor-D01 Micro Cargo-ปี 2024
295,000 บาท

นีโอมอร์ Neomor-D01 Micro Cargo-ปี 2024
Neomor D01 Micro Cargo รถบรรทุกไฟฟ้าอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ใช้งานขนส่งในเมือง ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานภาคโลจิสติกส์ในประเทศไทย โดยมีจุดเด่นที่การออกแบบให้มีวงเลี้ยวแคบกว่ารถขนส่งทั่วไป รองรับดารชาร์จด้วยแรงดันไฟฟ้า 3.3 kW เวลาในการชาร์จน้อยกว่า 5 ชม.

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์            Neomor
   รุ่น                 นีโอมอร์ Neomor-D01 Micro Cargo-ปี 2024
   ประเภทรถ        รถกระบะ 2 ประตู (ตอนเดียว)
   ปีที่เปิดตัว        2024
   ราคา              295,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ล้อกระทะ (12 นิ้ว)
ไฟหน้า (ปรับระดับได้)
ไฟหน้าฮาโลเจน
ขนาดยางหน้า-หลัง (195/70R12)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้ (,เข้า-ออกได้)
ม่านบังแดด
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                 มอเตอร์ Permanent magnet Synchronization ให้กำลัง 13//20 kW แรงบิดสูงสุด 25/85 นิวตันเมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    แรงม้า
   ระบบเกียร์
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS              มี
   ชนิดแบตเตอรี่                ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่             9.98 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง
   น้ำหนักตัวรถ                 615 กก.
  ประเภทยางรถยนต์            -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน              ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบแจ้งเตือนความเร็วต่ำ,กล่องเก็บเครื่องมือ,ไฟฉุกเฉิน,เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง)
เข็มขัดนิรภัย

6
mobile expo 2025: เลือกซื้อรุ่นไหนดี? iPad Pro 11 VS iPad Air 5 VS iPad Gen 9 กับโจทย์ใช้เรียน ทำงาน และหาเงินออนไลน์

"เลือก iPad รุ่นไหนดี?" คำถามยอดนิยมที่หลายคนมีอยู่ในใจ เพราะต้องยอมรับว่า "iPad" กลายเป็นไอเท็มเทคโนโลยีชิ้นสำคัญของหลายคนไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่วัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้แต่สูงวัยก็ถูกใจในความสามารถของแท็บเล็ตที่ทาง Apple ตั้งชื่อให้ว่า "iPad" กัน

แต่ในปัจจุบัน Apple ได้มีการเปิดตัว iPad ออกมาด้วยกันทั้งหมด 4 ไลน์โปรดักส์ พร้อมกับปรับสเปกใหม่มีความคุ้มค่ามากขึ้นจนทำให้หลายคนลังเลใจมากว่า "จะเพิ่มอีกนิด" หรือ "เก็บเงินไปซื้ออุปกรณ์เสริม" ดี

ดังนั้นครั้งนี้ผมจึงมีเทคนิคการเลือกซื้อ iPad ให้คุ้มค่า โดนใจ และใช้งบคุ้มที่สุดมากฝากกันครับ โดยขอหยิบมาแนะนำกัน 3 รุ่นยอดนิยมนะครับ เพราะ iPad Mini เขามีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมโดนป้ายยาได้เลยครับ!

4 ความแตกต่างที่ต้องนำไปคิด
จากสเปกตัวเครื่องด้านบน เราก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสามรุ่นมีจุดแตกต่างสำคัญ! อยู่ 4 จุดใหญ่ ๆ ซึ่งเราสามารถหยิบข้อแตกต่างนี้ไปใช้เป็นตัวกำหนดได้ว่า ไลฟ์สไตล์ของเราควรจะซื้อ iPad รุ่นไหนมาใช้งาน เพื่อตอบโจทย์มากที่สุดและใช้งบประมาณที่คุ้มค่าที่สุด โดยสำหรับจุดแตกต่างทั้ง 4 จุด จะมีดังนี้ครับ

1. หน้าจอแสดงผล

หน้าจอแสดงผลของทั้งสามรุ่นนอกจากขนาดที่แตกต่างกันแล้ว ในรายละเอียดของคุณสมบัติหน้าจอแสดงผลยังเป็นอีกจุดที่แตกต่างกันพอสมควร โดยในรุ่น iPad Pro 11 นิ้ว จะเป็นรุ่นเดียวจากสามรุ่นที่หยิบมาเปรียบเทียบ ที่มีการใส่เทคโนโลยี Pro-Motion หรือ Adaptive refresh rate 120Hz เข้ามา ดังนั้นใครที่ต้องการความสมูธของหน้าจอเพื่อใช้ทำงาน ก็จะมีคำตอบทันทีเลยว่า "iPad Pro 11 นิ้ว " เท่านั้นที่ต้องการ
ในขณะที่ iPad Air 5 และ iPad Gen9th ถึงมีจะสเปกน่าจะหน้าจอแสดงผลที่ใกล้เคียงกัน แต่ในรายละเอียดเล็ก ๆ กลับมีความแตกต่างกันอยู่ โดย iPad Air 5 ทาง Apple จะมีการเคลื่อบสารกันสะท้อนมาให้บนหน้าจอ และเป็นจอภาพแบบ Full Lamination หรือเป็นจอภาพที่ชั้นของกระจกและแผงหน้าจอติดกันส่วน iPad Gen9th จะไม่ได้คุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา ดังนั้นใครที่ต้องพกพาไปใช้งานนอกสถานที่เป็นประจำ ผมก็แนะนำว่า iPad Air 5 น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าครับ                                     

2. ชิปประมวลผลและหน่วยความจำ

มากันที่เรื่องของชิปประมวลผลและหน่วยความจำกันบ้าง โดยในด้านของชิปประมวลผลจะมีเพียง iPad Gen9th เท่านั้น ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic นอกนั้นจะใช้ชิปตัวแรงอย่าง Apple M1 ที่ถูกใช้อยู่บน MacBook โดยถ้ามองกันที่เรื่องของผลลัพธ์การใช้งาน ถ้าหากคุณไม่ได้ใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการทรัพยากรตัวเครื่องสูง อย่างเช่น โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ, ตัดต่อภาพต่าง ๆ หรือรันทดสอบ Coding อะไร
ทั้งสามรุ่นถือว่าให้ผลลัพธ์การใช้งานที่ไม่แตกต่างกันในด้านของการใช้งานทั่วไปนะครับ ดังนั้นแนะนำว่าเรื่องจากความสนใจได้เลย ถ้าอยากลองความแรงของ M1 และงบถึง iPad Air 5 ก็จะเป็นรุ่นที่คุ้มค่า แต่ถ้าไม่ได้โฟกัสอะไร ขอแค่ใช้งานทั่วไปลงตัว Apple A13 Bionic ก็พอแล้ว
หน่วยความจำ (ROM) เป็นอีกจุดที่ทาง Apple ใส่เป็นกริมมิกไว้ โดยจะมีเพียงรุ่น iPad Pro 11 นิ้ว เท่านั้น ที่สามารถเลือกหน่วยความจำได้หลากหลายตั้งแต่ 128GB ไปจนถึง 2TB เลยทีเดียว ในขณะที่ iPad Air 5 และ iPad Gen 9 จะมีหน่วยความจำให้เลือกเพียงสองขนาดเท่านั้น คือ 64 และ 256GB

3. กล้องถ่ายรูป

กล้องถ่ายรูปเป็นจุดแตกต่างที่ส่วนตัวผมมองว่า Apple เขายังใจดีไม่กักสเปกมากนัก เพราะทั้งสามรุ่น Apple เลือกใส่กล้องหน้าเลนส์ไวด์ความละเอียด 12MP พร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลางเฟรมเท่ากันทุกรุ่น ซึ่งจะมีเพียงกล้องหน้าของ iPad Pro 11 นิ้ว ที่เป็นกล้อง Truedepth ใช้สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกได้
กล้องหน้าจะเป็นกล้องที่เราต้องใช้งานบ่อย เพื่อใช้ประชุมออนไลน์หรือเรียนออนไลน์ รวมถึงบางคนนำไปใช้ไลฟ์ขายของด้วยนั่นเอง ดังนั้นเราสามารถซื้อเพียง iPad Gen 9 ก็สามารถตอบโจทย์ในด้านนี้ได้แล้ว
เพียงแต่ถ้าใครชอบถ่ายภาพเซลฟี่จาก iPad เป็นชีวิตจิตใจ จะมีเพียง iPad Pro เท่านั้น ที่จะได้คุณสมบัติการละลายฉากหลังให้สมจริง และการปรับฟีเจอร์แสงเอฟเฟ็กต์ 6 แบบพิเศษเหมือนบน iPhone ในขณะที่กล้องหลังทั้งสามรุ่นจะแตกต่างกันทั้งหมด ดังนั้นถ้าใครติดใช้กล้องจาก iPad ถ่ายแทนการใช้สมาร์ตโฟน ก็แนะนำว่าให้ลองพิจารณาดูตามความชอบได้เลย

โดย iPad Gen 9 จะมาพร้อมกล้องหลังเป็นกล้องไวด์ความละเอียด 8MP (F2.4) ซูมดิจิทัล 5 เท่า ด้าน iPad Air 5 จะมาพร้อมกล้องหลังไวด์เช่นกันความละเอียด 12MP (F1.8) ซูมดิจิทัล 5 เท่า ในขณะที่พี่ใหญ่อย่าง iPad Pro 11 นิ้ว ก็จะได้ของที่ครบเครื่องเพราะจะได้กล้องหลัง 2 ตัว โดยกล้องหลักเป็นเลนส์ไวด์ความละเอียด 12MP (F1.8) และมีกล้องอัตราไวด์ความละเอียด 10MP (F2.4) มาให้ด้วย ทำให้สามารถซูมภาพแบบ Optical ได้ 2 เท่า และซูมดิจิทัลได้ 5 เท่า

4. รายละเอียดอื่น ๆ ที่เราสนใจเป็นพิเศษ
สุดท้ายคือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แต่ละคนมีความต้องการหรือความสนใจที่แตกต่างกัน ก็นำประเด็นนี้หยิบมารวมเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อด้วย เพราะรายละเอียดเหล่านี้จะยิ่งทำให้การตัดสินใจของเรามีน้ำหนักที่มากขึ้นเยอะ อาทิ ระบบยืนยันตัวตนเข้าเครื่อง ถ้าใครชอบสไตล์แตะปุ่มโฮมแบบดั่งเดิมก็จะมีเพียง iPad Gen 9 เท่านั้นที่ให้ได้
ส่วนถ้าใครชอบแตะสแกนจากปุ่ม Power ก็จะมี iPad Air 5 ที่ใส่มา ส่วนถ้าใครชอบแบบปลดล็อคด้วยใบหน้าแน่นอน iPad Pro 11 รุ่นเดียวเท่านั้น หรือจะเป็นเรื่องการรองรับเครือข่าย ที่จะมีเพียง iPad Gen 9 เท่านั้นนะครับที่รองรับ 4G LTE นอกนั้นจะรองรับเครือข่าย 5G ได้แล้ว

บทสรุป (Conclusion)

สำหรับบทสรุปส่งท้ายเชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเลือกรุ่น iPad ในใจได้แล้วว่า รุ่นไหนที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ ส่วนถ้าใครยังตัดสินใจไม่ได้ผมก็อยากสรุปให้เลยครับว่า ถ้าอยากได้เพื่อนำไปใช้เรียน-ประชุม-ขายของออนไลน์ ด้วยงบที่ "จำกัด" iPad Gen 9 ก็เพียงพอแล้วครับ

ส่วนถ้าใครที่พอมีงบขยับมาได้ รวมทั้งอยากได้เรื่องของดีไซน์ ความสดใหม่ของฮาร์ดแวร์ "iPad Air 5" เป็นรุ่นที่ส่วนตัวผมจัดให้เป็น "Best Value Choice" ที่สุดแล้วล่ะครับ เพราะได้ทั้งเรื่องของความสดของฮาร์ดแวร์ และยังได้ดีไซน์สไตล์ใหม่ที่ไร้ปุ่มโฮม บนราคาที่ยังพอเข้าถึงได้ ถึงแม้จะโดนตัดสเปกไปบ้าง แต่โดยรวมบอกเลยว่า "เหลือ ๆ "

แต่สำหรับใครที่งบไม่ใช่ปัญหา ต้องการความสุดของ iPad แน่นอนว่า iPad Pro Series คือคำตอบโดยที่คุณไม่ต้องมาเลือกตัวเลือกให้เสียเวลา ที่ต้องทำแค่เลือกขนาดหน้าจอที่ตัวเองขึ้นว่าชอบได้เลย เพราะระหว่างรุ่น 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว หน้าจอแสดงผลจะเป็นข้อแตกต่างหลักของทั้งสองรุ่น สุดท้ายนี้ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ใครที่กำลังลังเลใจในการเลือกซื้อ iPad รุ่นใหม่ มีคำตอบในใจกันทุกคนนะครับ

7
หมอออนไลน์: หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน (Acute labyrinthitis)

หูชั้นใน (inner ear/labyrinth) ประกอบด้วยอวัยวะ 2 ส่วน ได้แก่ อวัยวะหอยโข่ง (cochlea) ซึ่งควบคุมเกี่ยวกับการได้ยิน กับหลอดกึ่งวง (semicircular canals) 3 อัน ซึ่งควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว โดยมีเส้นประสาทเชื่อมต่อกับสมอง เส้นประสาทแขนงที่เชื่อมระหว่างอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว (ในหูชั้นใน) กับสมองมีชื่อว่า เส้นประสาทการทรงตัว (vestibular nerve)

ทั้งหูชั้นในและเส้นประสาทการทรงตัวอาจเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุนอย่างรุนแรงคล้ายกัน ต่างกันตรงที่หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน (ซึ่งมีการอักเสบของเส้นประสาทการทรงตัวร่วมกับประสาทการได้ยิน) จะมีอาการหูตึงและมีเสียงดังในหูร่วมด้วย ในขณะที่เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบจะมีอาการบ้านหมุนเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตามทั้ง 2 โรคนี้มีสาเหตุและการดูแลรักษาในแนวเดียวกัน

โรคทั้ง 2 ชนิดนี้ พบได้ในคนทุกวัย แต่พบบ่อยกลุ่มอายุ 30-60 ปี

หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน,เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ

สาเหตุ

อาการผิดปกติเกิดจากหูชั้นใน/เส้นประสาทการทรงตัวมีการอักเสบ ทำให้กระทบต่อการส่งสัญญาณไปที่สมองของประสาทการทรงตัวและประสาทการได้ยิน (สำหรับโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน) หรือการส่งสัญญาณของประสาทการทรงตัวเพียงอย่างเดียว (สำหรับโรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ) ทำให้เกิดอาการผิดปกติของการทรงตัวและการได้ยิน (สำหรับโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน) หรืออาการผิดปกติของการทรงตัวเพียงอย่างเดียว (สำหรับโรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ)

ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส ที่พบบ่อยคือ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น นอกจากนี้อาจเกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ เช่น คางทูม หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส เริม งูสวัด ตับอักเสบจากไวรัส เอชไอวี เป็นต้น

ส่วนน้อยอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น หูชั้นกลางอักเสบจากแบคทีเรีย โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย) ซึ่งพบว่าผู้มีความเสี่ยงต่อการเป็นหูชั้นในอักเสบจากแบคทีเรีย คือ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และมักทำให้เกิดโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันมากกว่าเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ

นอกจากนี้ บางรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เป็นหูชั้นในอักเสบ ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ (เช่น การบาดเจ็บที่หูหรือศีรษะ การผ่าตัดหู) บางรายอาจพบร่วมกับโรคภูมิต้านตนเอง (เช่น เอสแอลอี ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง)

ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด มีความเครียดจัด ร่างกายเหนื่อยล้าเป็นประจำ มีประวัติโรคภูมิแพ้ หรือกินยาบางชนิด (เช่น แอสไพริน ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาเบาหวานบางชนิด) มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันมากขึ้นกว่าปกติ


อาการ

หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการเวียนศีรษะ เห็นบ้านหมุนอย่างฉับพลันและรุนแรงติดต่อกันนานเป็นวัน ๆ มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการทรงตัว (ลุกนั่ง ยืน เดิน ทรงตัวไม่ได้ มักจะเซล้มไปข้างหนึ่ง) ร่วมกับมีเสียงในหู (หูอื้อ) และ/หรือหูตึง (ได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงไม่ชัด) ในหูข้างหนึ่ง และอาจมีอาการตากระตุก (มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของดวงตาซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ) ร่วมด้วย

ผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรงจนต้องนอนพัก ลุกขึ้นเดินลำบากและทำงานไม่ได้ ซึ่งมักจะเป็นอยู่นาน 2-3 วัน บางรายอาจนานถึง 1 สัปดาห์

ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่พบว่าจะมีอาการบ้านหมุนเกิดขึ้นหลังเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น บางรายอาจมีประวัติเป็นโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ หรือหูชั้นกลางอักเสบมาก่อน

เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ มีอาการแบบเดียวกับหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันดังกล่าวข้างต้น แต่จะไม่มีอาการหูตึงและเสียงดังในหูร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และจะหายได้เป็นปกติ และมักไม่กลับมากำเริบอีก

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ ได้แก่

    ขณะที่มีอาการอย่างฉับพลันและรุนแรง อาจทำให้ทำงานหรือขับรถไม่ได้ หรืออาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือหกล้มได้
    ในรายที่มีอาการอาเจียนมาก อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ
    บางรายหลังจากอาการทุเลาลงแล้ว อาจมีอาการของบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) ตามมา ซึ่งจะมีอาการไม่รุนแรง แต่จะเป็นเรื้อรังอยู่นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ
    สำหรับผู้ที่เป็นหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน อาจมีอาการหูตึงหรือหูหนวกอย่างถาวร ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก และมักจะพบในรายที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (โรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง) เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย

ส่วนในรายที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดอาการหูตึงหรือหูหนวกอย่างถาวร ที่อาจพบได้ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดที่บริเวณหู

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจหู ตา และระบบประสาท)

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก ได้แก่ อาการบ้านหมุนที่เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการทรงตัว ลุกนั่งไม่ได้ โดยมีอาการต่อเนื่องกันนานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ และมักมีประวัติว่าเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น หรือหูชั้นกลางอักเสบมาก่อนที่จะมีอาการบ้านหมุน


การตรวจดูตา อาจพบอาการตากระตุก

ในรายที่มีอาการบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) ซึ่งพบในระยะหลังของโรค การทดสอบดิกซ์ฮอลล์ไพก์ (ดู "โรคบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี" เพิ่มเติม) มักจะให้ผลบวก คือกระตุ้นให้เกิดอาการบ้านหมุนและตากระตุก

ในรายที่ยังวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน มีอาการแย่ลงหรือนานกว่า 3 สัปดาห์ หรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น โรคทางสมอง โรคทางหูชนิดอื่น ๆ) แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน (audiometry) ตรวจความผิดปกติของหูชั้นในที่เกี่ยวกับการทรงตัว (เช่น electronystagmograp hy/ENG, video head impulse test) ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. ในรายที่อาการไม่รุนแรง และยังกินอาหารดื่มน้ำได้ ลุกขึ้นเดินได้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง และให้การรักษาตามอาการ เช่น ไดเมนไฮดริเนต, ไดเฟนไฮดรามีน, ไดอะซีแพม ครั้งละ 1-2 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง จนกว่าจะทุเลาก็จะหยุดยา (ส่วนใหญ่อาจใช้ยาอยู่เพียง 2-3 วัน)

2. ในรายที่มีอาการบ้านหมุน อาเจียนรุนแรง ลุกขึ้นเดินไม่ได้ หรือกินอาหารไม่ได้/ดื่มน้ำไม่ได้, มีอาการหูตึงอย่างฉับพลัน ปวดหูหรือมีหนองไหลออกจากหู, มีอาการเดินเซ ปวดศีรษะมาก เห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ หรือแขนขาชา/อ่อนแรง, เป็นเริม/งูสวัด/อีสุกอีใส/โรคภูมิต้านตัวเอง, มีอาการหลังได้รับบาดเจ็บ หรือสงสัยเป็นโรคทางสมอง (เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง) อย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาดังนี้

    ให้ยารักษาตามอาการ อาจต้องใช้ยาฉีด เช่น ไดอะซีแพม หรือโพรคลอร์เพอราซีน (prochlorperazine) เมื่อดีขึ้นค่อยเปลี่ยนเป็นยาเม็ดไดเมนไฮดริเนต หรือโพรคลอร์เพอราซีน ให้กินต่อจนกว่าจะหายเป็นปกติ
    ในรายที่มีอาการอาเจียนบ่อย กินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
    ในรายที่เกิดจากเชื้อไวรัสเริม งูสวัด หรืออีสุกอีใส แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น ให้อะไซโคลเวียร์
    สำหรับผู้ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหูชั้นกลางอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ รวมทั้งแก้ไขภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
    ในรายที่มีอาการหูตึง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) เพี่อลดการอักเสบของประสาทหู บางรายแพทย์อาจใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์ผ่านเยื่อแก้วหูเข้าไปในหูชั้นกลาง
    ในรายที่มีอาการรุนแรงมากหรือสงสัยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ปวดศีรษะและอาเจียนรุนแรง คอแข็ง ซึม ชัก) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

3. ในรายที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประสาทการทรงตัวเรื้อรังนานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นแรมปี แพทย์จะให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูประสาทการทรงตัว (vestibular rehabilitation)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่อาการจะทุเลาลงภายใน 1-3 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติใน 1-2 เดือน

บางรายอาจมีอาการเมารถเมาเรือง่าย หรือมีอาการบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่าหรือบีพีพีวี อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่นานหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ๆ หรืออาจมีอาการสูญเสียการทรงตัวนานเป็นแรมเดือนแรมปี แล้วหายไปได้เองในที่สุด

ส่วนอาการหูตึงส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ทุเลาจนหายเป็นปกติ มีน้อยรายที่อาจมีอาการหูตึงหรือหูหนวกอย่างถาวร ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรีย บางรายอาจมีอาการมีเสียงในหูอย่างถาวร


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการทรงตัว และอาจมีอาการหูตึง มีเสียงดังในหูร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน/เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการขับรถ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร และการปีนขึ้นที่สูง
    อย่าเคลื่อนไหวศีรษะเร็ว ๆ และหลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการ (เช่น การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว การก้มหรือเงยคอ การหันหน้าไปจนสุด)
    ขณะมีอาการควรนอนนิ่ง ๆ และหลับตาในห้องที่เงียบ ๆ มืด ๆ จนกว่าจะทุเลา
    ดื่มน้ำให้มากพอ โดยจิบทีละน้อยแต่บ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
    ควรกินอาหารเหลว (เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม) ดื่มนม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ ทีละน้อยแต่บ่อย ๆ เพื่อลดอาการอาเจียน
    หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ แสงสว่างจ้าหรือแสงกะพริบ เสียงรบกวน การดูทีวีและจอคอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด
    เมื่ออาการเริ่มทุเลาลง ควรค่อย ๆ ลุกขึ้น ควรมีคนคอยพยุงเวลาลุกขึ้นเดิน     

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการบ้านหมุนรุนแรง อาเจียนมาก กินไม่ได้ หรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือลุกขึ้นนั่งไม่ได้ (ต้องนอนนิ่งบนเตียง) นานเป็นวัน ๆ
    มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ตาเห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ แขนขาชาหรืออ่อนแรงข้างหนึ่ง เป็นลม ชัก เป็นต้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ดูแลรักษานาน 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ทุเลา
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีการป้องกันที่ได้ผลเต็มที่

อาจลดความเสี่ยงลงด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    ดูแลตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และหูชั้นกลางอักเสบ และหากเป็นโรคเหล่านี้ควรดูแลรักษาให้ได้ผลแต่เนิ่น ๆ
    ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ หัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และหาทางผ่อนคลายความเครียด

ข้อแนะนำ

1. อาการบ้านหมุนมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นใน ซึ่งอาจมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน หากมีอาการบ้านหมุนรุนแรง หรือเป็นครั้งละนานมากกว่า 20 นาที เป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หูตึง มีเสียงดังในหู หรือสูญเสียการทรงตัว มักจะไม่ใช่มีสาเหตุจากโรคบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) แต่อาจเกิดจากโรคเมเนียส์ หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน หรือเนื้องอกประสาทหูได้ ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุ

2. โรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน/เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ และโรคเมเนียส์ มีอาการบ้านหมุนอย่างฉับพลันและรุนแรง ร่วมกับอาการหูตึง มีเสียงดังในหู สูญเสียการทรงตัว และคลื่นไส้ อาเจียนคล้าย ๆ กัน ต่างกันที่หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน/เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ จะเป็นติดต่อกันนาน 2-3 วัน และเมื่อหายแล้วมักจะไม่มีอาการกำเริบใหม่ (ถ้าพบว่ามีอาการกำเริบใหม่ มักจะเกิดจากสาเหตุอื่น) ส่วนโรคเมเนียส์มักจะมีอาการนานครั้งละไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และจะมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราวอยู่เรื่อย ๆ

3. ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการรุนแรงอยู่ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ทุเลาลง เมื่อรู้สึกทุเลาค่อนข้างดีแล้ว ควรหยุดยาที่ใช้บรรเทาอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ควรกินต่อเนื่องไปนาน ๆ เพราะอาจทำให้ประสาทการทรงตัวฟื้นตัวได้เนิ่นช้าไป และผู้ป่วยควรลุกขึ้นเดินและเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นคืนสู่ปกติได้เร็ว

8
รถไฟฟ้า ev ลีปมอเตอร์ Leapmotor C10 Style ปี 2025

Leapmotor C10 Style ปี 2025 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในรูปแบบ SUV ขนาดกลาง 5 ที่นั่ง ที่เพิ่งได้รับการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่ายขึ้นจากรุ่น Design เดิม โดยเน้นความคุ้มค่าในราคาที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท พร้อมฟังก์ชันและเทคโนโลยีที่ยังคงครบครัน

ราคาจำหน่ายในประเทศไทย (อย่างเป็นทางการ ณ ปัจจุบัน)
Leapmotor C10 Style ปี 2025: 978,000 บาท
(รุ่นท็อป: Leapmotor C10 Design ราคา 1,098,000 บาท)
รุ่น Style นี้ถือเป็นกลยุทธ์ของ Leapmotor ในการขยายฐานลูกค้าด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า SUV ที่มีขนาดใหญ่และออปชั่นที่น่าสนใจในราคาที่จับต้องได้

มิติตัวถัง
Leapmotor C10 เป็นรถ SUV ที่มีขนาดใหญ่และกว้างขวาง เหมาะสำหรับครอบครัว:

ความยาว: 4,739 มิลลิเมตร
ความกว้าง: 1,900 มิลลิเมตร
ความสูง: 1,680 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ: 2,825 มิลลิเมตร

ขุมพลังและสมรรถนะ
Leapmotor C10 Style ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD):

มอเตอร์ไฟฟ้า: มอเตอร์ซิงโครนัสแบบแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor)
กำลังสูงสุด: 170 kW (ประมาณ 228 แรงม้า) หรือ 160 kW (ประมาณ 218 แรงม้า) จากบางแหล่งข้อมูล (ตัวเลขอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละตลาด)
แรงบิดสูงสุด: 320 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่: Lithium Iron Phosphate (LFP)
ความจุแบตเตอรี่: 69.9 kWh
ระยะทางวิ่งสูงสุด (NEDC): 477 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 7.5 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 170 กม./ชม.

การชาร์จไฟฟ้า:
AC Charging (On-board charger): 6.6 kW
DC Fast Charging: รองรับสูงสุด 84 kW
เวลาชาร์จ DC Fast Charging (30-80%): ประมาณ 30 นาที

ดีไซน์ภายนอก
Leapmotor C10 มีดีไซน์ที่ทันสมัย โฉบเฉี่ยว และดูพรีเมียม:

ไฟหน้าและไฟท้าย: Full LED พร้อมไฟ DRLs ที่เป็นเอกลักษณ์
ล้ออัลลอย: ขนาด 18 นิ้ว (แตกต่างจากรุ่น Design ที่เป็น 20 นิ้ว)
มือจับประตู: แบบ Pop-out (ซ่อนเรียบไปกับตัวรถ)
หลังคากระจก Panoramic Sunroof: ขนาด 2.1 ตารางเมตร พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า
กล้อง: กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา

ภายในและความสะดวกสบาย
ห้องโดยสารของ Leapmotor C10 Style เน้นความกว้างขวาง ความทันสมัย และเทคโนโลยี:

หน้าจอ:
หน้าจอมาตรวัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว
หน้าจอสัมผัส Infotainment กลางขนาด 14.6 นิ้ว (ขับเคลื่อนด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 8155 และระบบปฏิบัติการ Leap OS 4.0) รองรับการสั่งการด้วยเสียง และรองรับ OTA (Over-The-Air) updates
พวงมาลัย: มัลติฟังก์ชัน
เบาะนั่ง: หุ้มหนังสังเคราะห์ (อาจไม่มีฟังก์ชันทำความร้อน/ระบายอากาศ เหมือนรุ่น Design)
ระบบปรับอากาศ: อัตโนมัติแบบแยกอิสระ 2 โซน (Dual-zone)
ลำโพง: 12 ตำแหน่ง
แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย (Wireless Charger)
ช่องจ่ายกระแสไฟฟ้า 12V
พื้นที่เก็บสัมภาระ: 1,410 ลิตร เมื่อพับเบาะหลัง (เบาะหลังพับได้แบบ 40/60)
ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS)
แม้จะเป็นรุ่น Style ที่มีราคาต่ำกว่า แต่ Leapmotor C10 ยังคงให้ระบบความปลอดภัยและ ADAS ที่ครบครัน:

ถุงลมนิรภัย: 6 ตำแหน่ง
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CCS) (รุ่น Design จะเป็น ACC แบบแปรผัน)
ระบบควบคุมรถให้อยู่กึ่งกลางเลน (LCC)
ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW)
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
ระบบตรวจสอบจุดอับสายตา (BSD)
ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตาขณะขับขี่ (HOD)
ระบบเตือนการเปิดประตู (DOW)
ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน (ELK)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
ระบบเตือนการชนด้านหลัง (RCW)
ระบบเตือนการถอยหลังและช่วยเบรกขณะออกจากช่องจอด (RCTA + RCTB)
ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISA)
ระบบแจ้งเตือนเมื่อคนขับเกิดภาวะง่วงซึม (DDAW)
ระบบเตือนเมื่อคนขับเสียสมาธิแบบขั้นสูง (ADDW)

Leapmotor C10 Style ปี 2025 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า SUV ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่พร้อมฟีเจอร์ที่ครบครันในราคาที่จับต้องได้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาด EV ช่วงราคา 1 ล้านบาทครับ

9
งานมอเตอร์โชว์ NEW GWM TANK 300 รุ่นใหม่กับ กูรูช้าง มาพร้อมขุมพลังดีเซลในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย คุ้มค่าขนาดไหน เหมาะกับใคร?

หลังจากที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ทำการเปิดราคาของ NEW GWM TANK 300 DIESEL และได้ให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดพร้อมจับจองในงาน Bangkok International Motor Show 2025 หรือ บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ที่ผ่านมา โดยราคาของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ภายในงานนั้นมีราคาระหว่าง 999,000-1,249,000 บาท และสามารถกวาดยอดจองสูงถึง 2,786 คัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ GWM TANK 300 ที่เป็นตัวเบนซินไฮบริดยังไม่ได้ทำยอดได้ขนาดนี้ กูรูช้าง-สินธนุ จำปีศรี จะมาวิเคราะห์ให้ฟังว่าทำไมรถรุ่นนี้ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลถึงได้ปังถีงขนาดนี้ ที่สำคัญกล้ารับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ยาวนานถึง 1,000,000 กิโลเมตร (หรือ 8 ปี)
 
จุดเด่นของ NEW GWM TANK 300 DIESEL
เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาด 2.4 ลิตร เทอร์โบ แปรผัน VGT กำลัง 184 แรงม้า แรงบิด 3 ระดับ (1,000 รอบต่อนาที 260 นิวตันเมตร, 1,200 รอบต่อนาที 350 นิวตันเมตร และ 1,500-2,500 รอบต่อนาที 480 นิวตันเมตร) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ทำให้รถคันนี้มีกำลังแม้ในรอบต่ำก็ยังให้กำลังแรงได้ดี พร้อมแรงบิดเร็วตั้งแต่ 1,000 รอบ/นาที

ความประหยัดและคุ้มค่า ทาง GWM เคลมอัตราสิ้นเปลืองของ NEW GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กม./ลิตร (คาดว่าในเมืองน่าจะอยู่ที่ราว 10-11 กม./ลิตร) ที่สำคัญน้ำมันดีเซลราคาถูกกว่าเบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลมีความทนทานและเหมาะกับการใช้งานในระยะยาว
ความเงียบของเครื่องยนต์ เพราะ NEW GWM TANK 300 DIESEL นั้นใช้สายพานยางแบบเบลท์ ปั่นหน้าเครื่องเพื่อลดเสียงรบกวน พร้อมทั้งวัสดุกันเสียงภายในห้องโดยสารดี ช่วยลดเสียงเครื่องดีเซลได้มาก
การออกแบบและฟีลลิ่งการขับขี่


ภายนอก
NEW GWM TANK 300 DIESEL ยังคงมากับรูปทรงโดดเด่น สไตล์ออฟโรด พรีเมียมเอสยูวีกับมิติตัวรถที่มี ความยาว 4,760 มิลลิเมตร, ความกว้าง 1,930 มิลลิเมตร, ความสูง 1,903 มิลลิเมตร, ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ระยะความสูงใต้ท้องรถ 224 มิลลิเมตร (ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 78 ลิตร)

ภายใน
ภายในห้องโดยสารของมีการผสมผสานระหว่างความหรูหราและฟังก์ชันการใช้งาน วัสดุที่ใช้ให้สัมผัสพรีเมียม แผงหน้าปัดออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวก เบาะนุ่ม นั่งสบาย, มีระบบกล้องรอบคัน แสดงภาพใต้ท้องรถ

ช่วงล่างและการควบคุม
ช่วงล่างออกแนว “แข็งแต่นิ่ง” ขับเร็วมั่นใจ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมโหมดการขับขี่ 9 รูปแบบ
ฟังก์ชันช่วยจอดอัตโนมัติถึง 3 รูปแบบ

ราคาและรุ่นที่จำหน่าย
รุ่น   ระบบขับเคลื่อน   ราคาเปิดตัว (โปรโมชัน)   ราคาจำหน่ายปัจจุบัน
2.4T PRO   ขับหลัง   999,000 บาท   1,029,000 บาท
2.4T ULTRA   ขับหลัง   1,149,000 บาท   1,179,000 บาท
2.4T ULTRA 4WD   ขับเคลื่อน 4 ล้อ   1,249,000 บาท   1,279,000 บาท
 
การรับประกันและบริการหลังการขาย
รับประกันเครื่องยนต์ 8 ปี / 1,000,000 กม.
ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะทาง 10 ครั้ง ภายใน 5 ปี
บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. ฟรี 5 ปี
เครือข่ายศูนย์บริการ GWM ขยายต่อเนื่องทั่วประเทศ

โปรโมชันของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ทุกรุ่น ที่นี่

เหมาะกับใคร?
คนที่มองหารถ SUV ขนาดกลางขับดี ออฟชั่นครบ
คนที่ต้องการเครื่องยนต์ดีเซลประหยัดน้ำมัน
ผู้ใช้ที่เน้น “ความคุ้มค่า” ทั้งราคาและอุปกรณ์ที่ได้

สรุป
NEW GWM TANK 300 DIESEL ไม่ใช่แค่รถดีเซลธรรมดา แต่เป็น SUV ที่ผสมผสานความแข็งแรง ความหรูหรา และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมราคาที่ยังอยู่ในเกณฑ์จับต้องได้ เหมาะกับผู้ที่อยากได้รถขับสนุก ลุยได้จริง และใช้งานในเมืองก็สะดวก

10
ข้อเสียของการจัดฟันเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE

หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟันเพื่อแก้ปัญหาฟันสามารถทำได้ตั้งแต่ในเด็ก โดยไม่ต้องรอฟันน้ำนมหลุดหมดก่อนหรือรอจนฟันแท้ขึ้นครบ การรักษาตั้งแต่เริ่มแรกอาจจะทำให้ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่า แล้วยังไม่ยุ่งยาก ลดค่าใช้จ่าย และได้ผลการรักษาที่ดีและส่งผลดีในระยะยาวด้วย โดยการจัดฟันในเด็กนั้นจริงๆแล้ว สามารถเริ่มจัดฟันได้ตั้งแต่ 3-4 ขวบโดยไม่ต้องรอให้เด็กฟันแท้ขึ้นครบแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจคิดว่าฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่มีความสำคัญ

เพราะคิดว่า ในอนาคตก็จะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่อยู่ ซึ่งต้องบอกว่า นี่คือความคิดที่ผิดเพราะฟันน้ำนมของเด็กนั้นมีผลต่อการขึ้นของฟันแท้ และเมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตเห็นว่า เด็กเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์ ซึ่งในการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองก็จะต้องศึกษารายละเอียดให้ดี และควรปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันโดยตรงเพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้เด็กได้ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาในอนาคตได้

แต่ถึงแม้การจัดฟันในเด็กจะมีข้อดี แน่นอนว่าจะต้องมีข้อเสียด้วยเช่นกัน แต่วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงข้อเสียของการจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE ถึงแม้จะเป็นข้อเสียแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเด็กทุกคนสามารถปรับตัวให้เข้ากับเครื่องมือได้อย่างแน่นอน และผลการรักษาของการจัดฟัน EF LINE ในเด็กนั้น ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้เด็กมีรูปร่างฟันที่ดี มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง เพราะการที่เด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น เด็กจำเป็นที่จะต้องเอาใส่ใจในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุและปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน
 
ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงเครื่องมือการจัดฟัน EF LINE ก่อนว่า เป็นอย่างไร เผื่อพ่อแม่ผู้ปกครองบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินหรือรู้จักการจัดฟันแบบ EF LINE โดยเครื่องมือ EF LINE สามารถใช้ได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 4 -15 ปี โดยเครื่องมือชนิดนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันของเด็กไม่ว่าจะเป็นปัญหารูปหน้าที่มีคางยุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้น ซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น

ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อท่านพบความผิดปกติดังที่ได้กล่าวมาหรือในกรณีที่ไม่ทราบว่าบุตรหลานของท่านมีความผิดปกติใดๆแฝงอยู่หรือไม่ จึงควรพาบุตรหลานเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันและวางแผนการรักษากับทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้บุตรหลานของท่านไม่เสียโอกาสที่จะได้รับการแก้ไขปัญหาและช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าเพื่อผลการจัดฟันที่ดีขึ้น ใช้เวลาน้อยลง และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย สำหรับข้อเสียของการจัดฟันในเด็กโดยใช้เครื่องมือ EF LINE ถือเด็กอาจจะต้องปรับตัวในการสวมใส่เครื่องมือ เพราะในช่วงแรกอาจจะทำให้รู้สึกไม่คุ้นชิน อาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดในช่วงแรก นี่คือข้อเสียที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร

การใช้ชีวิตประจำวันของเด็กได้ ซึ่งตัวเครื่องมือการจัดฟัน EF LINE เด็กจะต้องสวมใส่เครื่องมือตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลานอน อาจจะทำให้เกิดความไม่คุ้นชินได้ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้อเสียของการจัดฟันในเด็ก โดยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งทางพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยสังเกตุและดูแลในการสวมใส่เครื่องมือของเด็กด้วย เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์วางแผนไว้

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลาของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะทางคลินิกของเรา อยากให้เด็กๆทุกคนที่สุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่มั่นใจ และยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของบุคลิกภาพของเด็กได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

11
เครื่องมือจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยปรับสมดุลกล้ามเนื้อ

การจัดฟันในเด็ก ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง สำหรับเด็ก ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกรูปแบบ เนื่องจากในวัยเด็กนั้น มักพบเจอกับปัญหาฟันผุ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน อาจจะคิดว่าการดูแลฟันของเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนมอาจจะไม่จำเป็น เพราะคิดว่ายังไงฟันแท้ขึ้นมาแทนที่อยู่แล้ว ซึ่งความคิดนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะฟันน้ำนมส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ ถ้าหากเรามีฟันที่ผุหรือไม่รักษาสุขภาพช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อย อาจจะส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติของการขึ้นของฟันแท้ได้นั่นเอง


ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่มักจะพบได้ก็คือการเกิดฟันซ้อนเก ฟันห่าง ทำให้มีปัญหาในการรับประทานอาหาร บดเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดและส่งผลต่อบุคลิกภาพของเด็ก ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและอาจจะโดนเพื่อนล้อได้ ดังนั้น จึงนิยมใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟันเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและได้ผลแม่นยำมาก พ่อผู้ปกครอง อาจจะคิดว่าการจัดฟันในเด็กนั้น ยังไม่มีความจำเป็นมากเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่ว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุตั้งแต่ 4-15 ปี ซึ่งจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า EF Line ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติได้ ทั้งยัง ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูก โดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก  นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟัน EF Line ยังช่วยปรับสมดุลของกล้ามเนื้อ ได้อีกด้วย

และในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน EF Line ในแง่ของการปรับสมดุลของกล้ามเนื้อของเด็ก ให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น  เพราะเด็กบางคนที่มีพฤติกรรมความเคยชินบางอย่าง เช่น การดูดนิ้ว การแกะเล็บ การกัดริมฝีปาก หายใจทางปากเป็นประจำ หรือมีการกลืนที่ผิดปกติ พฤติกรรมเหล่านี้จะมีผลต่อการเรียงตัวของฟัน หรืออาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบหน้าและขากรรไกรที่ผิดปกติด้วย ทำให้ต้องมารับการจัดฟันเร็วขึ้น เพื่อป้องกันหรือแก้ไขความผิดปกติเหล่านั้น ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองหรือตัวเด็กเอง ก็ควรตระหนักและให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษา กล้ามเนื้อเป็นสิ่งกำหนดรูปร่างของอวัยวะต่างๆ เช่นใบหน้า โดยแท้จริงแล้วกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและมีอิทธิพลเหนือกระดูกมาก

ซึ่งพบว่าตำแหน่งและการทำงานของลิ้น กิจกรรมของกล้ามเนื้อรอบปาก และการหายใจผ่านทางจมูกล้วนมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขการสบฟันผิดปกติรวมไปถึงการคงสภาพผลของการจัดฟันในระยะยาว ซึ่งเครื่องมือการจัดฟัน EF Line ก็มีส่วนที่ช่วยปรับสมดุลให้กับกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยทำให้เด็กจัดฟันง่ายขึ้นและเสร็จเร็วมากขึ้น ทั้งยังเป็นการป้องกันปัญหาการคืนกลับตำแหน่งเดิมของฟันหลังจัดฟันด้วย สำหรับคำถามที่ว่า ถ้าหากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปหรือเด็กโตขึ้น ฟันจะคืนกลับสภาพเดิมหรือไม่  ในข้อนี้ ต้องอธิบายก่อนว่า ถ้าหากเราเปรียบเทียบผลการจัดฟันแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น หลังการใส่ EF Line กับแบบที่ไม่ใส่ EF Line แค่จัดฟันอย่างเดียว แบบที่มีการใส่EF Line ร่วมด้วยจะสวยกว่าและแก้ปัญหากระดูกได้ดีกว่า รวมถึงคงสภาพไปตลอดชีวิตจะดีกว่า และไม่ทำให้ฟันไม่เคลื่อนด้วย


ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line จึงได้ผลมากกว่าการจัดฟันตอนโต แถมยังมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ามาตรวจประเมินช่องปากเบื้องต้นกับทันตแพทย์จากทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์จัดฟันที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง ทำให้บุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

12
หมอออนไลน์: โรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome)

โรคเรย์ซินโดรม (กลุ่มอาการเรย์) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของตับร่วมกับสมอง ซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลันและรุนแรง แม้ว่าจะพบได้น้อย แต่มักจะเป็นอันตรายร้ายแรงถึงเสียชีวิตภายในเวลารวดเร็วได้ โรคนี้พบบ่อยในเด็กอายุ 4-16 ปี ในทารกและคนอายุ 19 ปีขึ้นไปพบได้น้อย


สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามักเป็นตามหลังโรคติดเชื้อไวรัส เช่น อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด เป็นต้น ส่วนใหญ่พบว่าการใช้แอสไพรินบรรเทาไข้ในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น โดยยังไม่อาจอธิบายถึงกลไกของการเกิดโรคได้

นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และไม่มีประวัติการใช้ยาแอสไพริน ก็อาจมีอาการแบบโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งพิสูจน์พบว่ามีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึมของสารบางชนิด โดยการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (inborn error of metabolism) ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะไม่แสดงอาการ แต่เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสก็จะกระตุ้นให้อาการกำเริบขึ้นมา

โรคนี้ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายทำงานผิดปกติ เกิดการสะสมไขมันในอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญคือ ตับจะสูญเสียหน้าที่ ทำให้เกิดการคั่งของแอมโมเนียในเลือด ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะสมองบวม และความดันในกะโหลกศีรษะสูงกว่าปกติตามมาในที่สุด


อาการ

มักเกิดหลังจากเริ่มมีอาการแสดงของโรคติดเชื้อไวรัส (ส่วนใหญ่ ได้แก่ อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ นอกนั้นเป็นไข้หวัด และโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ) ประมาณ 3-7 วัน หรือบางรายอาจนานถึง 3 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้นหรือหายดีแล้ว แต่อยู่ ๆ กลับมีอาการไม่สบายใหม่ ด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่องอยู่ 1-3 วัน แล้วตามด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึม อยากนอน ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือแปลก ๆ ไม่มีเหตุผล สับสน และในที่สุดจะเพ้อคลั่ง กรีดร้อง หมดสติ ชักเกร็ง อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน

ในทารกอาการแรกเริ่มอาจไม่ใช่คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาจมีอาการท้องเดิน หายใจหอบลึก ก่อนจะมีอาการทางสมองตามมา

ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคลมชักต่อเนื่อง โรคเบาจืด เลือดออกในทางเดินอาหาร ภาวะการหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจวาย ไตวายเฉียบพลัน ตับอ่อนอักเสบ ปอดอักเสบจากการสำลัก (aspiration pneumonia) โลหิตเป็นพิษ เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

มักไม่มีไข้ อาจพบภาวะขาดน้ำจากอาการอาเจียน

มักจะพบอาการทางสมอง เช่น ซึม ก้าวร้าว สับสน จำพ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่ได้ พูดอ้อแอ้ ชักเกร็ง หมดสติ แขนขาอ่อนปวกเปียก รูม่านตาโต เป็นต้น

มักคลำได้ตับโต ส่วนอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) จะตรวจไม่พบ หรือมีเพียงเล็กน้อยไม่ชัดเจน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (ที่สำคัญจะพบเอนไซม์ตับ ได้แก่ AST และ ALT สูงกว่าปกติประมาณ 3 เท่า นอกจากนั้น อาจพบระดับแอมโมเนียในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ) บางครั้งอาจทำการเจาะหลัง (เพื่อแยกออกจากโรคติดเชื้อของสมอง) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (พบภาวะสมองบวม) เจาะตับนำชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ (liver biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ปรับดุลสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ ให้ยาลดภาวะสมองบวม แก้ไขภาวะเลือดออกและความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ใช้เครื่องช่วยหายใจ (ถ้าหายใจลำบาก) เป็นต้น รวมทั้งให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่พบ

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าให้การรักษาในระยะแรกเริ่มซึ่งยังไม่มีอาการรุนแรง ก็มักจะหายขาดได้ แต่ถ้าปล่อยให้มีอาการทางสมองรุนแรงแล้วค่อยให้การรักษา ก็มักจะเสียชีวิต หรือพิการทางสมอง


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น หลังมีไข้และไข้ลงแล้ว กลับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง ซึม กระสับกระส่าย สับสน เพ้อคลั่ง กรีดร้อง ชักเกร็ง หรือหมดสติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อพบว่าเป็น โรคเรย์ซินโดรม ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


การป้องกัน

1. ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ที่มีไข้หรือเป็นโรคติดเชื้อไวรัส ควรใช้พาราเซตามอลในการบรรเทาไข้ หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน รวมทั้งยาแก้ปวดลดไข้ที่ไม่แน่ใจว่ามีแอสไพรินผสมหรือไม่

2. ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้แอสไพรินรักษาประจำ เช่น โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และอีสุกอีใส เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคนี้

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ไม่มีการแพร่กระจายติดต่อให้คนอื่น จะเกิดขึ้นกับเด็กบางคนเป็นการเฉพาะ แต่โรคติดเชื้อไวรัสที่ผู้ป่วยเป็นก่อนหน้าที่จะมีอาการของเรย์ซินโดรม อาจติดต่อได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดโรคนี้ตามมาเสมอไป

2. การวินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้รักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น ถ้าพบว่าเด็กมีอาการอาเจียนอย่างต่อเนื่องเป็นวัน ๆ หลังจากเริ่มทุเลาจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อีสุกอีใส หัด คางทูม หรือโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ก็ควรแนะนำให้ส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว และไม่ควรให้ยาแก้อาเจียน เพราะอาจบดบังอาการ ทำให้วินิจฉัยได้ไม่ชัดเจนหรือล่าช้าเกินไป
 

3. อาการทางสมองที่พบในโรคนี้ อาจทำให้วินิจฉัยผิดว่าเป็นสมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคทางจิตประสาท การได้รับสารพิษ การใช้ยาเกินขนาด เป็นต้น

13
หมอออนไลน์: รากประสาทถูกกด (Spinal nerve root compression) / หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Herniated disk)

รากประสาทถูกกด หมายถึง การที่มีสิ่งผิดปกติหรือพยาธิสภาพที่รบกวนหรือกดถูกรากประสาทของเส้นประสาทสันหลัง ถ้าเกิดที่ระดับคอ ทำให้มีอาการปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ หรือรู้สึกชาลงมาที่แขนและมือ (ดู "กระดูกคองอกกดรากประสาท")

ถ้าเกิดที่ระดับเอว ทำให้มีการกดถูกรากประสาทไซแอติก (sciatic nerve) มีอาการปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ หรือรู้สึกชาลงมาที่ขา เรียกว่า อาการปวดตามประสาทขาหรือประสาทไซแอติก (sciatica) ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุได้หลายประการ ที่พบบ่อยได้แก่ หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (herniated disk) และ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ส่วนสาเหตุอื่นที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง เนื้องอกไขสันหลัง มะเร็งที่แพร่กระจายจากที่อื่น อุบัติเหตุ เป็นต้น

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน และโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ

สาเหตุ

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน* พบได้ในช่วงอายุ 20-60 ปี แต่พบได้น้อยมากในคนอายุมากกว่า 60 ปี เกิดจากหมอนรองกระดูกที่เสื่อมตามอายุมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อเส้นใยชั้นเปลือกนอก ปล่อยให้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนตรงกลางซึ่งมีลักษณะคล้ายวุ้นแตก (rupture) หรือเลื่อน (herniation) ออกมากดทับรากประสาท และเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบ ๆ รากประสาท ทำให้เกิดอาการของโรคนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่มีประวัติการบาดเจ็บชัดเจน อาจเกิดจากแรงกระทบเพียงเล็กน้อยจากการทำกิจวัตรประจำวัน หรือจากอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ส่วนน้อยเกิดหลังจากได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน เล่นกีฬา อุบัติเหตุ ยกหรือเข็นของหนัก

ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือสูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากมีออกซิเจนในเลือดไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกน้อยลง จึงเสื่อมได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือทำอาชีพที่ต้องเข็นหรือยกของหนัก ก็เสี่ยงต่อการเกิดแรงกระทบต่อหมอนรองกระดูกทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น

โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ เริ่มพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป และพบมากในคนอายุมากกว่า 60 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากกระดูกสันหลังเสื่อมตามอายุ ทำให้ผิวข้อกระดูกสันหลังมีหินปูนหรือปุ่มงอก (osteophytes) เกาะโดยรอบ และมีการหนาตัวของเอ็นรอบ ๆ โพรงกระดูกสันหลัง (spinal canal) ทำให้มีการตีบแคบของโพรงกระดูกสันหลัง ซึ่งค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ใช้เวลานานเป็นแรมปีหรือหลายปี จนในที่สุดเกิดการกดทับรากประสาทที่แยกออกจากไขสันหลังผ่านโพรงดังกล่าว และบีบรัดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงรากประสาททำให้เกิดอาการของโรคนี้
 

*หมอนรองกระดูกสันหลัง (intervertebral disk) เป็นกระดูกอ่อนที่คั่นอยู่ระหว่างข้อต่อของกระดูกสันหลังทุกข้อ ทำหน้าที่ลดแรงกระแทกต่อกระดูกสันหลัง และช่วยให้สันหลังมีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว ประกอบด้วยเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนลักษณะคล้ายวุ้นอยู่ตรงกลาง (เรียกว่า nucleus propulsus) โดยมีเนื้อเยื่อเส้นใยห่อหุ้มอยู่ชั้นเปลือกนอก (เรียกว่า annulus fibrosus)

เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณน้ำภายในหมอนรองกระดูกจะลดลง เมื่ออายุมากกว่า 20 ปี หมอนรองกระดูกก็เริ่มเสื่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเปราะง่ายขึ้น เมื่อมีแรงกระทบต่อหมอนรองกระดูก เนื้อเยื่อเส้นใยชั้นนอกมีโอกาสฉีกขาด ปล่อยให้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่อยู่ตรงกลางแตกหรือเลื่อนออกมาข้างนอก และอาจกดถูกรากประสาทหรือไขสันหลัง แต่เมื่ออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนจะเริ่มแข็งตัว การไหลเลื่อนออกมาข้างนอกเกิดได้น้อยลง ดังนั้น โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนจึงพบได้น้อยในคนอายุมากกว่า 60 ปี

อาการ

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ขึ้นกับตำแหน่งของหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนและเส้นประสาทที่ถูกกด ส่วนใหญ่พบที่หมอนรองกระดูกบริเวณเอว (พบบ่อยในกลุ่มอายุ 35-45 ปี) ส่วนน้อยพบที่บริเวณคอ (พบบ่อยในกลุ่มอายุ 40-50 ปี) อาจมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรง หรือค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อยก็ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติเกิดอาการหลังได้รับบาดเจ็บหรือยกของหนัก แต่ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่ามีเหตุกำเริบจากอะไร

ในรายที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อน จะมีอาการปวดตรงกระเบนเหน็บ ซึ่งจะปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ และชาจากบริเวณแก้มก้นลงมาถึงน่องหรือปลายเท้า อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเวลามีการเคลื่อนไหว เวลาก้ม นั่ง ไอ จาม หัวเราะ หรือเบ่งถ่าย ในรายที่เป็นมากเท้าจะไม่ค่อยมีแรงและชา อาจถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ หรือกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่อยู่

มักพบเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้ง 2 ข้าง

ในรายที่หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเคลื่อน จะมีอาการปวดบริเวณต้นคอ ปวดร้าว เสียว ๆ แปลบ ๆ และชาลงมาที่ไหล่ แขน และปลายมือ

มักมีอาการเวลาแหงนคอไปด้านหลัง หรือหันศีรษะไปข้างที่เป็น ถ้าเป็นมากแขนและมืออาจมีอาการอ่อนแรง

โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในระยะแรก ๆ จะไม่มีอาการแสดง อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการถ่ายภาพรังสีกระดูกสันหลัง ต่อเมื่อโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบมากขึ้นจนกดทับรากประสาท จึงจะมีอาการปวดหลังและร้าวลงมาที่ขาขณะวิ่ง ยืนนาน ๆ หรือเดินไกล ๆ ในรายที่เป็นมากแม้แต่เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็จะรู้สึกปวดน่องจนต้องนั่งพัก หรือหยุดเดินสักครู่ อาการปวดจึงจะทุเลาและสามารถเดินต่อไปได้ แต่ต้องคอยหยุดพักเป็นช่วง ๆ* อาการปวดมักเป็นเพียงข้างเดียว แต่ก็อาจพบเป็นทั้ง 2 ข้าง

อาการปวดมักจะทุเลาเวลานั่งหรือก้มตัวไปข้างหน้า หรือขณะเดินขึ้นเนินหรือที่ลาด (ในท่าโน้มหรือก้มตัวไปข้างหน้า ทำให้โพรงกระดูกสันหลังขยาย ลดการกดรากประสาท แต่ในท่าแอ่นตัวไปข้างหลัง เช่น ยืนแอ่นตัวเดินลงเนินหรือที่ลาดจะทำให้โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบมากขึ้น)

บางรายอาจมีอาการเป็นตะคริวที่ขาตอนกลางคืนร่วมด้วย

ในรายที่เป็นมาก มักมีอาการเสียว ๆ แปลบ ๆ และชาจากแก้มก้นลงมาที่น่องหรือปลายเท้า เท้าอ่อนแรง ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และอาจมีอาการเดินโคลงเคลง ทรงตัวผิดปกติ 

*อาการปวดขาในลักษณะดังกล่าว คล้ายอาการปวดขาเป็นระยะจากการขาดเลือด (intermittent claudication) ซึ่งพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงขาตีบ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะคลำพบชีพจรหลังเท้าเต้นเบากว่าปกติ ส่วนอาการปวดน่องเวลาเดินที่พบในโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบไม่ได้เกิดจากหลอดเลือดแดงขาตีบ เพียงแต่แสดงอาการคล้ายกัน จึงเรียกว่า "Pseudoclaudication" หรือ "Neurogenic intermittent claudication"


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยให้รากประสาทถูกกดรุนแรงอาจทำให้ขาชา เป็นแผลติดเชื้อง่าย กล้ามเนื้อขาลีบ ขาอ่อนแรง เดินลำบาก ถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ หรือกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่มีการกดรากประสาทขาหรือประสาทไซแอติก สามารถทำการตรวจวินิจฉัยโดย

1. ให้ผู้ป่วยนอนหงาย แล้วจับเท้าข้างที่สงสัยค่อย ๆ ยกขึ้นโดยให้หัวเข่าเหยียดตรง จะพบว่าผู้ป่วยไม่สามารถยกเท้าเหยียดตรงได้ 90 องศาเช่นคนปกติ หรือได้น้อยกว่าเท้าอีกข้างหนึ่ง เพราะรู้สึกปวดเสียวตามหลังเท้าจนทนไม่ได้ วิธีนี้เรียกว่าการทดสอบเหยียดขาตรงตั้งฉาก (straight leg raising test/SLRT)

2. ใช้เข็มจิ้มเบา ๆ ที่หลังเท้าและน่อง ในรายที่เป็นมากจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าอีกข้างหนึ่ง

3. ให้ผู้ป่วยออกแรงเหยียดหัวแม่เท้าขึ้นต้านแรงกดของนิ้วมือผู้ตรวจ ในรายที่เป็นมากจะพบว่ามีแรงอ่อนกว่าหัวแม่เท้าข้างที่ปกติ

4. การตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อเข่าและข้อเท้า (tendon reflex) จะพบว่าน้อยกว่าปกติ

ในรายที่มีการกดทับรากประสาทในบริเวณคอ ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบกล้ามเนื้อแขนมีอาการชาและอ่อนแรง รีเฟล็กซ์ของข้อศอกและข้อมือน้อยกว่าปกติ

สำหรับโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในระยะแรกมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ผู้ป่วยส่วนน้อยที่การทดสอบเหยียดขาตรงตั้งฉากพบว่าผิดปกติ

ในรายที่เป็นมากแล้ว ก็อาจตรวจพบอาการชาที่หลังเท้าและน่อง รีเฟล็กซ์ของข้อเข่าและข้อเท้าน้อยกว่าปกติ หัวแม่เท้าอ่อนแรง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์กระดูกสันหลัง ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ถ้าจำเป็นอาจต้องทำการถ่ายภาพรังสีไขสันหลังโดยการฉีดสารทึบรังสี (myelography)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้             

ในระยะแรก แพทย์จะให้การรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัดก่อน ได้แก่ การให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน, ไดโคลฟีแนก, นาโพรเซน) เป็นหลัก ซึ่งนอกจากช่วยบรรเทาปวดแล้ว ยังลดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบ ๆ รากประสาท ทำให้อาการทุเลาได้

ในรายที่มีอาการเกิดขึ้นฉับพลันและปวดรุนแรง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยนอนพักในท่านอนหงายบนที่นอนแข็งตลอดเวลา (ลุกเฉพาะกินอาหารและเข้าห้องน้ำ) 1-2 วัน จะช่วยให้อาการทุเลาได้เร็ว ไม่ควรนอนติดต่อนานหลายวัน อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ

บางรายแพทย์อาจให้การรักษาทางกายภาพบำบัด (เช่น ประคบด้วยความเย็นและความร้อน ใช้น้ำหนักถ่วงดึง) กระตุ้นปลายประสาทด้วยไฟฟ้า (TENS) การฝังเข็ม เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้ผู้ป่วยใส่ "เสื้อเหล็ก" หรือ "ปลอกคอ"

ในรายที่มีอาการปวดมาก และไม่สามารถบรรเทาด้วยยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์และยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล แพทย์อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดที่แรงขึ้น เช่น โคเดอีน (codeine) กาบาเพนทิน (gabapentin) เป็นต้น บางรายอาจให้เพร็ดนิโซโลน หรือฉีดสเตียรอยด์เข้าบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ รากประสาทที่อักเสบเพื่อลดการอักเสบ

ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดกำเริบ บริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องตามคำแนะนำของแพทย์ ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายปวดและกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

สำหรับหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนที่ไม่รุนแรง อาการมักจะดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ เนื่องจากหมอนรองกระดูกที่ไหลเลื่อนออกมาข้างนอก มักจะยุบตัวลงจนลดแรงกดต่อรากประสาทไปได้เอง

ในรายที่ให้การรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัด 3-6 เดือนแล้วไม่ได้ผล ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ หรือมีภาวะแทรกซ้อน (เช่น กล้ามเนื้อลีบหรืออ่อนแรง มีอาการชามาก ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้) ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อปลดเปลื้องการกดรากประสาท และอาจเชื่อมข้อต่อกระดูกสันหลังให้แข็งแรงในรายที่มีการเลื่อนของกระดูกสันหลัง (spondylolisthesis) การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี รวมทั้งวิธีใช้กล้องส่อง (laparoscopic surgery)

สำหรับโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในปัจจุบันมีวิธีผ่าตัดขยายโพรงกระดูกสันหลังโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ (microlumbar decompression) ซึ่งได้ผลดีและมีความปลอดภัยมากขึ้น

โดยทั่วไปผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดมีประมาณร้อยละ 10-20 ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้ผลดี แต่มีประมาณร้อยละ 10 ที่อาจมีอาการปวดเรื้อรังต่อไป ในรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอยู่นานก่อนผ่าตัด อาการก็อาจไม่ดีขึ้นหลังผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดหลังร่วมกับปวดร้าวลงขาแบบเสียว ๆ ชา หรือมีอาการปวดน่องเวลาเดินไปสักพัก จนต้องหยุดเดินเป็นพัก ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นรากประสาทถูกกด หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน หรือโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดกำเริบ ปรับท่าทางในการทำงานและการขับรถให้เหมาะสม
    หมั่นบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องให้แข็งแรงด้วยท่าบริหารที่แพทย์แนะนำ
    ลดน้ำหนัก
    ขณะที่มีอาการปวดให้นอนหงายบนที่นอนแข็ง กินยาบรรเทาปวด และใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

1. หมั่นออกกำลังกาย (เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน) และบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องให้แข็งแรง

2. ระวังรักษาอิริยาบถ (ท่านอน ท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ) ให้ถูกต้อง

3. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เข็นของหนัก การนอนที่นอนที่นุ่มเกินไป

4. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5. ไม่สูบบุหรี่ (อาจทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็ว)


ข้อแนะนำ

1. หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนและโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ มีอาการปวดหลังและปวดร้าวลงมาที่ขาเหมือนกัน ต่างกันที่อันแรกจะพบในกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่า และมักจะปวดมากขึ้นเวลาก้มหรือนั่ง แต่อันหลังมักจะพบในผู้สูงอายุ มีอาการปวดน่องเป็นระยะเวลาเดิน และมักจะทุเลาปวดเวลาก้มหรือนั่ง การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการถ่ายภาพด้วยรังสีหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โรคนี้มีแนวทางการรักษาเหมือนกัน และส่วนใหญ่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีไม่ผ่าตัด

2. ทั้ง 2 โรคนี้ถ้าเป็นในระยะแรกเริ่มและไม่รุนแรง การใช้ยาบรรเทาปวดและลดอักเสบ หลีกเลี่ยงอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำให้อาการกำเริบ อาการก็มักจะหายได้ภายใน 4-6 สัปดาห์

3. ผู้ป่วยที่มีอาการแขนหรือขาชาและอ่อนแรง 1-2 ข้าง ซึ่งมีอาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้นทีละน้อย (อาจมีอาการปวดคอหรือหลังร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) ในเวลาเป็นสัปดาห์ ๆ หรือแรมเดือน ควรตรวจสาเหตุด้วยการถ่ายภาพรังสีหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเกิดจากเนื้องอกไขสันหลัง หรือมีก้อนมะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปอดหรือมะเร็งเต้านมแพร่กระจายไปกดถูกเส้นประสาทสันหลังก็ได้


14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำกว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก./ดล.)

ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้

สาเหตุ

อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

1. พบหลังดื่มแอลกอฮอล์จัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป

2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหารผิดเวลา หรือออกแรงกายมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ หรือใช้ยาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวานในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้า มักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ

3. พบในทารกแรกคลอดที่มารดาเป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย (ดู ภาวะชักในทารกแรกเกิด)

4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางรายก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจากร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น

5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า “Dumping syndrome”

6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อนชนิดอินซูลิโนมา (insulinoma) มะเร็งต่าง ๆ โรคแอดดิสัน เป็นต้น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะโวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคนเมาเหล้า)

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชัก หมดสติ

ในรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต

บางรายอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักจะมีลักษณะเบาเร็ว บางรายอาจพบความดันเลือดต่ำ

รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะพบว่าต่ำกว่าปกติ (มักจะพบต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในรายที่เป็นมากอาจต่ำกว่า 20 มก./ดล.)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าหมดสติ แพทย์จะให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยฟื้นแล้ว แต่ยังกินไม่ค่อยได้ ก็จะให้เดกซ์โทรส 5% (5% D/W) เข้าทางหลอดเลือดดำจำนวน 500-1,000 มล.

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและกินได้ แพทย์จะให้กินน้ำหวาน หรือกลูโคส

3. แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว หรือสงสัยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น พบในผู้ที่กำลังรักษาโรคเบาหวาน อดข้าว หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอม หากทุเลาทันที ก็แสดงว่าเป็นภาวะนี้ ต่อไปควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบอีก

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ซึมมาก หรือหมดสติ
    กินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมแล้วไม่ทุเลา
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย (การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผิดเวลา อย่าใช้แรงกายหักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ ข้อสำคัญอย่าใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง และพกน้ำตาล ของหวานหรือลูกอมติดตัวไว้แก้ไขเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    กินอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดข้าว ถ้ารู้สึกหิว ควรรีบกินอาหาร ของหวาน หรือดื่มนม หรือน้ำหวาน


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัวไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการ

แต่ถ้าหมดสติ ห้ามกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปยังสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีดกลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้

3. ในรายที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด 

4. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน) บางรายอาจเกิดอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมงได้บ่อย (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลักษณะนี้ เรียกว่า “Reactive hypoglycemia”) และอาจกลายเป็นเบาหวานในระยะอีกหลายปีต่อมา ดังนั้นผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ และตรวจพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวานก็ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเบาหวาน

15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


หน้า: [1] 2 3 ... 51





























































กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า