Doctor At Home: โรคติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังโรคติดเชื้อแบคทีเรียของผิวหนังเป็นภาวะที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นเมื่อเชื้อแบคทีเรียที่ปกติอาศัยอยู่บนผิวหนัง (เช่น Staphylococcus หรือ Streptococcus) เข้าไปในร่างกายผ่านรอยแตกหรือบาดแผลบนผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบและการติดเชื้อ อาการของโรคจะแตกต่างกันไปตามชนิดและความลึกของการติดเชื้อ
ชนิดของโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังที่พบบ่อย
โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังมีหลายชนิด โดยสามารถแบ่งตามความลึกของการติดเชื้อได้ ดังนี้:
1. การติดเชื้อที่ผิวหนังชั้นบน (Superficial Infections)
โรค ลักษณะอาการ
โรคผิวหนังพุพอง (Impetigo) เป็นการติดเชื้อที่ผิวหนังชั้นนอกสุด มักพบบ่อยในเด็ก มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองเล็กๆ แตกออกเป็นแผลและมี สะเก็ดสีเหลืองน้ำผึ้ง เกาะติด มักเกิดบริเวณใบหน้า รอบจมูกและปาก
รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) เกิดจากการติดเชื้อที่ รูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มแดงเล็กๆ คล้ายสิว มีหนองอยู่ตรงกลาง มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสีหรือมีการโกนขน
2. การติดเชื้อที่ผิวหนังชั้นลึก (Deeper Infections)
โรค ลักษณะอาการ
ฝี, ตุ่มหนอง (Furuncle/Boil) เป็นการติดเชื้อในรูขุมขนที่ลึกลงไปจนถึงชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดตุ่มนูนแดง เจ็บปวด มีหนองสะสมอยู่ข้างใน
ฝีฝักบัว (Carbuncle) เป็นกลุ่มของฝีหลายตุ่มที่เชื่อมต่อกันใต้ผิวหนัง มีขนาดใหญ่ขึ้นและรุนแรงกว่าฝีเดี่ยวๆ
เซลลูไลติส (Cellulitis) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ ชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีอาการ บวมแดงร้อน ปวด และมีขอบเขตไม่ชัดเจน อาจมีไข้ร่วมด้วย
ไฟลามทุ่ง (Erysipelas) เป็นการติดเชื้อในผิวหนังชั้นตื้นกว่าเซลลูไลติส มักมีอาการ บวมแดงร้อนจัด มีขอบเขตชัดเจน และนูนขึ้นจากผิวหนังปกติ มักเกิดบริเวณใบหน้าหรือขา
3. การติดเชื้อรุนแรง (Severe Infection)
โรคเนื้อเน่า (Necrotizing Fasciitis) หรือที่เรียกว่า "แบคทีเรียกินเนื้อ" เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงและรวดเร็วมากในชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและพังผืดที่หุ้มกล้ามเนื้อ มีอันตรายถึงชีวิต ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุดที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังคือ สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) และ สเตรปโตค็อกคัส (Streptococcus) โดยการติดเชื้อมักเกิดจาก:
มีบาดแผลหรือรอยถลอก: เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ผิวหนัง
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้ติดเชื้อ HIV, หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
สุขอนามัยที่ไม่ดี: หรืออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด
โรคผิวหนังที่มีอยู่เดิม: เช่น กลากน้ำกัดเท้า (เป็นเชื้อรา) หรือผื่นผิวหนังอักเสบ ซึ่งทำให้ผิวหนังมีรอยแตกง่าย
การรักษา
การรักษาหลักของโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังคือการใช้ ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) โดยขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค:
การติดเชื้อที่ไม่รุนแรง:
ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น ยา Mupirocin สำหรับรักษาโรคผิวหนังพุพอง
การดูแลแผล: ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ และใช้ผ้าก๊อซสะอาดปิดแผล
การติดเชื้อที่รุนแรง (เซลลูไลติส, ฝี, ฯลฯ):
ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: มักต้องรับประทานต่อเนื่อง 5-10 วัน หรือตามแพทย์สั่ง
การเจาะ/ผ่าระบายหนอง: หากเป็นฝีที่มีหนองสะสมมาก แพทย์อาจต้องผ่าตัดเล็กเพื่อระบายหนองออก
การติดเชื้อรุนแรงมาก:
ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด (Intravenous antibiotics): สำหรับการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น โรคเนื้อเน่า ซึ่งมักต้องทำควบคู่กับการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออกทันที
หากคุณมีอาการปวด บวม แดง ร้อนอย่างรุนแรงที่ผิวหนัง มีไข้สูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาเบื้องต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงครับ/ค่ะ